ในปี 2564 นี้ การดำเนินชีวิตของประชาชนชาวไทย และอาจจะทั้งโลกก็ว่าได้นั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วโดยธุรกิจหลายๆประเภทตั้งตัวไม่ติด ด้วยเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาด้วยระบบของเลขฐาน 2 ในทุกๆ ปี อีกทั้งประชนชนโลก ยังได้ประสบกับปัญหาทางโรคระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่ระบาดอย่างรุนแรงในขณะนี้ ปัญหาของโรคระบาดนั้น เป็นตัวสร้างให้เกิดความรวดเร็ว และความจำเป็นในการใช้งานเทคโนโลยีให้เป็นเรื่องใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น และหลายๆอย่างได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเราจะขอยกเคสตัวอย่างของผู้ที่สามารถจับ ทิศทางเทรนด์ดิจิทัล ในอนาคตได้อย่างรวดเร็วอย่าง ธนาคารกสิกรไทย กับ Application Kbank
หากเราลองวิเคราะห์ผลของธุรกิจมีเกิดปัญหาจนทำให้ผู้ประกอบการหลายๆราย ไม่สามารถแบกรับกับปัญหา และผลกระทบที่ตามมาเรื่องค่าใช้จ่ายให้ดีดีแล้ว ปัญหาเหล่านี้ เป็นปัญหาที่เกิดจากการปรับตัวช้าของธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเราจะเห็นได้จากธุรกิจที่กำลังนำตัวเองเข้าสู่ทำธุรกิจเชิงดิจิทัลในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 นั้น มีผลกระทบที่น้อยมาในเชิงของการปรับตัวทางธุรกิจ
ยกตัวอย่างเช่น ธนาคารกสิกรไทย ที่มีการปรับปรุง และพัฒนาระบบ Application เทรนด์ดิจิทัลให้มีความสะดวกสบายต่อผู้ใช้งานมาอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง เมื่อมีโรคระบาดเกิดขึ้น ผู้คนกลัวการพบปะกันมากขึ้น มีการเข้าไปธนาคารสาขาน้อยลง ใช้บริการตู้กดเงินสด หรือ ตู้ ATM ที่น้อยลง และหันมาทำธุรกรรมทางโทรศัพท์กันมากขึ้น Application K Bank ในช่วงแรกนั้น ถือได้ว่าเป็น Application เดียวที่สามารถตอบโจทย์ในการเข้าสู่สังคมไร้เงินสดได้ทันที ด้วยการที่ผู้คนกลัวการสัมผัสแบงค์ เงินสด และการติดต่อของเชื้อโรคไวรัสโควิด 19 ผ่านแบงค์
Application Kbank จึงแทบจะไม่ต้องนำเงินลงทุนในการสร้าง และพัฒนา Application เพื่อการรองรับการใช้งานของคนจำนวนมากเลย ซึ่งต่างกับผู้ให้บริการทางธุรกรรมการเงินเจ้าอื่นๆ ที่ต้องแบ่งงบประมาณจากการที่จะนำงบส่วนนั้นไปใช้สำรองในการแบกรับภาระที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด 19 มาเป็นทุนในการออกแบบ และพัฒนา Application เป็นของตนเอง
จากที่ผมได้ยกตัวอย่าง Case study จาก ธนาคารกสิกรไทย ไปแล้วนั้น ในตอนนี้สำหรับเจ้าของธุรกิจผู้ให้บริการธุรกรรมทางการเงินค่ายอื่นๆ ที่กำลังคิดว่าจะพัฒนาระบบ พัฒนา Application ของตนเองยังไงให้ใช้งานได้ง่าย และสามารถลองรับการใช้งานได้หลายๆผู้ใช้งานในเวลาเดียวกัน หากเจ้าของธุรกิจเหล่านั้น ยังคิดเรื่องการพัฒนาอยู่ หรือยังไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้เสร็จได้โดยกินเวลาตั้งแต่ปี 2019 - 2021 แล้วละก็ การที่ยังคงมานั่งคิดเรื่องนี้อยู่นั้น อาจจะสายเกินไปแล้วกับการที่พฤติกรรมของมนุษย์ กำลังจะเปลี่ยนไปครั้งใหญ่ หลังเหตุการณ์ของเชื้อไวรัสโควิด 19 จบลง
จากการคาดการของ Case study และการทำระบบการใช้งานของ Application Kbank นั้น เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า ตัวระบบถูกออกแบบมาให้เราใช้งานได้ง่าย มีการวางตำแหน่งของการใช้งาน ให้เข้าถึงง่าย และรวดเร็ว มีการคิดถึงการใช้งานของผู้ใช้งานที่หลากหลาย การวิเคราะห์การใช้งานของธุรกรรมทางการเงิน สามารถขอรายงานทางบัญชีย้อนหลังได้ถึง 6 เดือน และยังสามารถทำการจัดการการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้อีกด้วย
ทั้งหมดนี้ สามารถบอกเราได้ว่า Kbank กำลังเป็น Application ที่จะรองรับในเทคโนโลยีขั้นต่อไปที่กำลังจะมาถึง ยุคเปลี่ยนแปลงที่คนจะเข้าใช้งานธนาคารสาขาที่น้อยลง หรือการที่ต้องพึ่งพาการให้บริการจากบุคคลที่เป็นมนุษย์น้อยลง เพราะการพัฒนาระบบปฏิบัติการ AI นั้นถูกพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในทุกๆปี ซึ่งหากเหตุการณ์นั้นมาถึง ธนาคารกสิกรไทยที่กำลังเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์นั้น วิธีการต่อไปก็คือ การรับพนักงานที่น้อยลง เพื่อวันที่มีการปรับเปลี่ยนครั้งต่อไป ก็จะหมดปัญหาด้านการแบกรับค่าใช้จ่ายในการต้องจ่ายค่าชดเชย
และทั้งหมดที่ได้พูดถึงมานี้นั้น หากเรายังคงมีนักการตลาดที่สามารถทำได้แค่เพียงคิดโปรเจคใหม่ได้แค่ ปีต่อปี หรือนักการตลาดที่ยังไม่รู้ว่าตอนนี้เทคโนโลยีนั้นไปถึงไหนแล้ว นักการตลาดที่กำลังดูแค่ว่าสิ้นปีนี้จะสามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ถ้าหากคุณมีบุคคลนี้อยู่ในมือ เมื่อถึงวันเปลี่ยนแปลงใหญ่เหมือนกับปัจจุบันนี้ บริษัทของคุณ อาจจะเป็นหนึ่ง ในหลายๆบริษัทที่ไม่สามารถปรับตัวกับการทำธุรกิจรูปแบบใหม่ได้ทัน และพังทลายลงเหมือนกับที่คุณเห็นอยู่ตอนนี้
นักการตลาดต่อไปในอนาคตนั้น เรื่องเทคโนโลยี และดิจิทัลอาจจะต้องถูกมาใช้ในการกำหนดทิศทางเป็นอย่างแรก การมองตำแหน่งของธุรกิจที่ทำอยู่ในอีก 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้าว่าจะอยู่ตรงไหน โดยสามารถเห็นภาพธุรกิจของคุณเป็นรูปร่างคู่กับเทคโนโลยีที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ใช่การเห็นภาพของธุรกิจ เป็นเพียงแค่ตัวเลขทางบัญชีเพียงเท่านั้น
อย่างที่ทราบกันดี โรคระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ในครั้งนี้ ทำให้เราต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอะไรหลายๆ อย่าง มีปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างมากมายโดยที่เราอาจจะไม่ทันรู้สึกตัว จนวันหนึ่งที่สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ หรือเริ่มกลับมาเป็นปกติ เรา ยังไม่อาจหลุดการจากใช้วิถีชีวิตในช่วงเวลานี้ได้เลย หรือเราอาจจะไม่ทันสังเกตเลยก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น
Application การสั่งอาหารแบบ เดลิเวอร์รี่ นั้น ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 นั้น ผู้คนยังให้ความสนใจในการใช้บริการในระดับที่ต่ำอยู่เมื่อเทียบกับตอนนี้ ธุรกิจ เดลิเวอร์รี่ นั้น ถูกใครหลายคนมองว่าเป็นการที่เราต้องเสียค่าบริการแพงเกือบจะครึ่งหนึ่งของค่าสินค้าที่ต้องจ่าย เช่น เราสั่งชานมไข่มุกแก้วละ 45 บาท เราอาจจะต้องเสียค่าส่ง 20 บาท ซึ่งนั้นเทียบได้ว่าเราเสียค่าบริการถึง 50% ของการรับบริการ เดลิเวอร์รี่
แต่ในปัจจุบันนี้ บริบทของสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ความปลอดภัยของการออกไปเผชิญกับผู้คนภายนอก เป็นสิ่งที่ประชาชนให้ความใส่ใจกันเป็นจำนวนมาก เพราะเราไม่รู้ว่าระหว่างทางที่ไป ระหว่างการที่เรานั่งรอนั้น จะมีใครที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะสามารถแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด 19 ให้เราได้บ้าง หลายคนจึงเลือกใช้บริการโดยคิดว่า เราให้เค้ามาส่งให้แล้วเราก็จะได้ไม่ต้องไปเสี่ยงกับการรับเชื้อไวรัสโควิด 19 หลายๆต่อ และเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น มีมาตราการการคลายล็อกแล้ว ผู้คน ก็ยังคงเสพติดความสะดวกสบายที่ไม่จำเป็นต้องออกไปซื้อด้วนตนเอง และหันมาใช้งาน Application กันอย่างต่อเนื่องในคนส่วนใหญ่
Application "เป๋าตังค์" ถือได้ว่าเป็น Application และนโยบายที่ประสบความสำเร็จมากชิ้นหนึ่งในยุคของรัฐบาลที่มีการนำของ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ จันทรโอชา โดย Application นี้ หากเราไม่นับเรื่องความไม่พร้อม และความไม่สเถียรของการใช้งาน Application แล้วละก็ Application นี้นั้นถือได้ว่าเป็นผลงานที่จะสามารถเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตของประชาชนอย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว
เหตุเพราะ Application "เป๋าตังค์" เป็น Application ที่จะทำให้ประชาชน สามาถเข้าถึงการทำธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบของสังคมไร้เงินสดได้อย่างรวดเร็ว โดยการข้ามขีดจำกัดของการใช้งานจากที่จะต้องพัฒนาสังคมใช้เงินสดให้จำกัดการใช้อยู่ในกลุ่มร้านค้าภายในห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่ให้บริการที่มีกำลังในการใช้จ่ายก่อน ซึ่งเป็นพื้นฐานของการพัฒนาด้านดิจิทัล แต่การทำนโยบายโดยผ่านการใช้งานของ Application "เป๋าตังค์" เป็นการทำนโยบาย ที่สามารถเข้าถึงร้านค้า พ่อค้าแม่ค้า ทุกระดับ เราสามารถถือโทรศัพท์ และ Scan QR Code เพื่อชำระเงินซื้อส้มตำได้ด้วยราคา 40 บาทโดยไม่ต้องเสียค่าทำธุรกรรมทางการเงินแต่อย่างใด เราสามารถ Scam QR Code ซื้อขนม 5 บาท แล้วคุณยายอายุ 60 - 70 หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อทำการรองรับการชำระเงินด้วยระบบดิจิทัลของเราได้ทันที