ขอบคุณรูปภาพจาก google.com
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่จะทำให้ผู้ที่ชื่นชอบสมุนไพรได้เฮกันอีกครั้ง กับการปลดล็อก “พืชกระท่อม” ออกจากกลุ่มของยาเสพติดให้โทษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พืชกระท่อม โดยประกาศนี้ส่งผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป
พืชกระท่อม ถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่อยู่ในสังคมไทยมาเป็นเวลานาน นานจนเรียกได้ว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือสมุนไพรชาวบ้านเลยก็ว่าได้ แต่ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้นั้นพืชกระท่อมถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของยาเสพติดเพราะการใช้ในวิธีที่ผิดๆ กันมาเป็นเวลานานของกลุ่มวัยรุ่น และในวันนี้เราจะพูดถึงข้อดี ข้อเสียของพืชกระท่อม ข้อห้ามที่ทางรัฐบาลยังคงห้ามอยู่สำหรับพืชชนิดนี้ และบริบทสังคมไทยกับพืชกระท่อมเป็นอย่างไรในสมัยก่อน วันนี้เราจะมาถอดบทเรียนจากอดีตวิเคราะห์สิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับพืชกระท่อม
ขอบคุณรูปภาพจาก google.com
ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2564 ได้มีการประกาศตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 8 พ.ศ. 64 ให้ยกเลิก “พืชกระท่อม” ออกจากยากเสพติดให้โทษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และประชาชนสามารถปลูก และค้าขายได้อย่างเสรีในปัจจุบันหลังจากการประกาศนี้ได้แล้ว
และนอกจากนี้ผู้ที่เคยถูกกล่าวหา ถูกจับในข้อหากระทำผิดตามกฎหมายพืชกระท่อมจำนวนกว่า 1,000 ราย ได้ถูกประกาศให้เป็นผู้ที่พ้นผิด ไม่เคยกระทำความผิด และสำหรับใครที่ตอนนี้อยู่ในฐานะของนักโทษที่ถูกจำคุกหรือจับกุมอยู่ จะมีการพิจราณาข้อหา และการกระทำผิดใหม่ว่าการกระทำผิดของผู้นั้นมีการกระทำผิดเกี่ยวกับสิ่งใดบ้าง หรือการกระทำผิดนั้นเกี่ยวกับพืชกระท่อมเพียง ทั้งหมดนี้จะได้ถูกดำเนินการพิจารณาใหม่ทั้งหมด
สำหรับการปลดล็อก “พืชกระท่อม” ในครั้งนี้นั้นเป็นผลงานการผลักดันเศรษฐกิจโดยมีความหวังว่าจะส่งออกพืชกระท่อมให้เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ของไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมผู้ที่สามารถผลักดันให้ผลของการปลดล็อกพืชกระท่อมสำเร็จก็คือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นั้นเอง โดยในตอนนี้ชาวบ้านกลุ่มผู้ปลูกกระท่อม และผู้ที่เรียกร้องให้กระท่อมเป็นพืชเสรี สามารถค้าขายปลูกได้อย่างไม่ผิดกฎหมายนั้นได้รวมตัวกัน และยกย่องให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ครองตำแหน่ง “บิดาพืชกระท่อมไทย” นั้นเอง
ขอบคุณรูปภาพจาก google.com
เมื่อในตอนนี้ทางรัฐบาลได้มีการปลดล็อกพืชกระท่อมให้เป็นพืชเศรษฐกิจสามารถใช้ และปลูกกันได้อย่างเสรีรวมทั้งเรื่องของการค้าขาย เปิดเสรีพืชกระท่อม ในวันนี้เราจึงควรจะทำความรู้จัก และเรียนรู้ข้อดีของพืชกระท่อม พืชเศรษฐกิจใหม่ของไทย ก่อนที่เราจะนำไปใช้กันแบบผิดๆ
พืชกระท่อมเป็นพืชที่สามารถใช้ระงับอาการปวดได้เช่นเดียวกับมอร์ฟีน แต่ข้อดีของกระท่อมก็คือ ความรุนแรงต่อระบบทางเดินหายใจ และระบบต่างๆในร่างกายนั้นส่งผลน้อยกว่ามาก ด้วยความที่ใบกระท่อมนั้นมีสารสำคัญชนิดเดียวกับที่มีอยู่ในมอร์ฟีนเรียกว่า สารแอลคาลอยด์ Mitragynine จึงทำให้ชาวบ้านมักจะนำกระท่อมมาเคี้ยวเพื่อใช้ในการระงับปวด และนอกจากนี้นั้นเนื่องจากมีสารชนิดเดียวกัน ในทางการแพทย์ปัจจุบัน จึงได้มีการสกัดนำมาใช้ในการบำบัดให้กับผู้ช่วยที่มีอาการติดฝิ่น หรือติดมอร์ฟัน ซึ่งมีผลงานวิจัยออกมาแล้วว่าพืชกระท่อม สามารถช่วยบำบัดผู้ป่วยได้ง่ายกว่ายากล่องประสาทด้วยระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ 2 – 3สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งหากเทียบกับใช้ยาชนิดอื่นบำบัด จะต้องใช้เวลาสูงถึง 3 เดือน
นอกจากนี้ กระท่อมยังมีการนำใช้เพื่อรักษากลุ่มโรคเรื้อรังต่างๆ ที่มักจะพบเจอได้จากผู้ใหญ่เช่น โรคความดัน โรคเบาหวาน เป็นต้น และในส่วนของโรคซึมเศร้า หรือ กลุ่มโรควิตกกังวล โรคที่เกิดจากสภาพทางจิตใจ พืชกระท่อมก็สามารถช่วยได้อีกด้วย
เป็นเรื่องที่เรามักจะได้ยินกันมาอยู่เสมอๆ ว่าการรับประทาน “พืชกระท่อม” จะช่วยให้ร่างกายของเรานั้นสามารถทำงานหนักๆ ได้ หรือ ช่วยให้เราสามารถไม่เหนื่อย ไม่เมื่อยในการทำงานหนัก เช่นการแบกหาม หรือก่อสร้าง งานกลุ่มงานให้แรงงาน เป็นต้น และขอบอกเลยว่าเป็นเรื่องจริง เพราะเนื่องจากพืชกระท่อมมีสารคล้ายฝิ่น จึงทำให้ผู้ที่บริโภคพืชกระท่อมนั้นไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน และไม่รู้สึกปวดเมื่อยนั้นเอง
ขอบคุณรูปภาพจาก google.com
ถึงแม้ว่า “พืชกระท่อม” จะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ที่มีการประกาศให้มีการใช้ และค้าขายได้อย่างเสรีจากการปลดล็อกออกจากการะเป็นยาเสพติดให้โทษแล้ว พืชกระท่อม ก็ยังคงอยู่ในกรอบของการใช้ด้วยความระมัดระวังอยู่นั้นก็คือ สล็อตออนไลน์ กฎหมายห้ามให้นำใบกระท่อมไปใช้อย่างผิดกฎหมาย เช่น การนำไปผสมกับยาเสพติด หรือการนำไปใช้เป็นยาเสพติด เช่น สี่คูณร้อย เป็นต้น นอกจากนี้การที่นำไปใช้ผสมกับยาแก้ไอ ก็เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอีกด้วย
อย่างที่เราได้กล่าวเอาไว้ “พืชกระท่อม” เป็นพืชที่อยู่คู่สังคมไทยมาเป็นเวลานาน มีชาวบ้าน และประชาชนหลายฝ่ายที่ต้องโทษโดนคดีเพราะข้อหาการปลูก การค้า หรือการใช้พืชกระท่อม แต่ภายหลังจากการประกาศการปลดล็อกพืชกระท่อม เราได้เห็นชาวบ้านอีกหลายกลุ่มที่ออกมาแสดงตนว่าเป็นผู้ปลูกกระท่อมอยู่ และส่วนหนึ่งของผู้แสดงตนพบว่าเป็นผู้ปลูกรายใหญ่ ปลูกอยู่แล้วเป็นจำนวนที่เยอะมาก
สิ่งเหล่านี้ถูกสะท้อนให้เห็นถึงความเพิกเฉยต่อชาวบ้านกลุ่มนี้ ในการออกกฎหมาย และประกาศไม่เอาผิดต่อผู้ปลูกกระท่อมหลังจากประกาศนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าใจได้ดี แต่เหตุใด จึงขาดการตั้งคำถาม หรือการตรวจสอบถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่มีส่วนในการรับผิดชอบพื้นที่นั้นๆ ว่าพวกเขา ไม่รู้เรื่องว่าพื้นที่ของตนมีการปลูก มีการใช้ หรือมีการค้า พืชกระท่อม จริงๆหรือ