ขอบคุณรูปภาพจาก google.com
ในยุคนี้หากต้องนึกถึงอาหารเสริมสักหนึ่งชนิดที่มีคุณประโยชน์ที่หลากหลาย ใครหลายคนคงมีแบรนด์ หรือมีสิ่งที่ทานเป็นประจำอยู่ในใจ และคิดว่าดีแล้วใช่มั้ยละ วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ มารู้จักกับน้ำมันงาดำสกัดเย็น หรือ Black Sesame Oil ที่กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคที่สนใจด้านสุขภาพของตนเองในขณะนี้ ซึ่งบอกเลยว่า คุณค่าที่จะได้รับกลับไปนั้น Black Sesame Oil คุ้มค่ากว่าราคาที่ต้องจ่ายมากๆ ด้วยสรรพคุณ คุณประโยชน์ที่มากมาย
และก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักกับน้ำมันงาดำสกัดเย็น หรือ Black Sesame Oil เราลองมารู้จักกับสรรพคุณของงาดำ กันก่อนว่างาดำคืออะไร แล้วทำไม ต้องเลือกงาดำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์งาดำสกัดเย็น ไม่ใช้เป็นงาขาวสกัดเย็น ความต่างของทั้งสองสิ่งนี้ต่างกันอย่างไร วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจก่อนที่จะเลือกซื้อ เลือกหา น้ำมันงาดำสกัดเย็น หรือ Black Sesame Oil มาบริโภคเข้าสู่ร่างกายของเรากันจ้า
งาที่เรารู้จักกันดีนั้นมีด้วยกันทั้งหมอ 2 ชนิดนั้นก็คือ “งาดำ” และ “งาขาว” ใน 2 ชนิดนี้นั้น มีความแตกต่างกันซึ่งในปัจจุบันบางคนยังคงมีความคิดอยู่ว่า “งาดำ” คืองาที่ยังไม่ได้ขัดเปลือก แต่ “งาขาว” คืองาที่คัดเปลือกออกแล้ว ซึ่งในข้อเท็จจริงนี้บอกเลยว่าผิด “งาดำ” และ “งาขาว” นั้นเป็นงาคนละสายพันธุ์กัน ลักษณะรูปร่างนั้นมีความใกล้เคียงกัน แต่ “งาดำ” จะมีสีดำ และ “งาขาว” จะมีสีขาว หรือสีออกสีครีม ในบางกรณีเคยพบว่า “งาขาว” มีสีแดง สีดำ สีน้ำตาลอีกด้วย และ “งาขาว” จะต้องทำการคัดเปลือกหุ้มออก ซึ่งใน ”งาขาว” นั้น จะมีรสชาติที่หอมน้อยกว่า “งาดำ” จ้า
ขอบคุณรูปภาพจาก google.com
สำหรับสารอาหารที่จะได้รับในงา ชนิด “งาขาว” และ “งาดำ” นั้นมีความใกล้เคียงกัน แต่จะมีความต่างกันตรงที่บางชนิดนั้นให้สารอาหารตัวใดตัวหนึ่งสูงกว่าอีกชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง ซึ่งยกตัวอย่างเช่น มักจะพบว่ามีแคลเซียมในงาดำเป็นสารอาหารที่สามารถให้ได้มากกว่างาขาว เป็นต้น
และในส่วนของการรับประทาน “งา” ทั้ง “งาขาว” และ “งาดำ” นั้นปัจจุบันมักจะนิยมใช้ในการนำไปโรยหน้าของขนมที่ผ่านกระบวนการอบมากมาย หรือในบางประเทศแถบเอเชียจะพบว่า “งาขาว” หรือ “งาดำ” นั้นมักจะถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการโรยข้าวอีกด้วย ซึ่งการรับประทานงาชนิด “งาขาว” และ “งาดำ” นั้นควรรับประทานอย่างน้อย 1 ช้อนโต๊ะ ต่อวัน หรือประมาณ 10 – 15 กรัมต่อวันนั้นเอง เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและมีคุณค่าต่อร่างกายนั้นเอง
เมื่อเราได้รู้จักกับ “งา” และชนิดของ “งา” กันไปแล้ว เราจะมาทำความรู้จักกับ “น้ำมันงาดำสกัดเย็น” กันต่อ ว่าทำไมผลิตภัณฑ์จาก “งาดำสกัดเย็น” นั้นเป็นที่นิยม และเป็นที่ยอมรับมากในกลุ่มของคนที่ชอบมองหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูงจนเป็นอันดับต้นๆ ในประเทศไทยตอนนี้ คุณภาพ และคุณประโยชน์ที่จะได้รับจาก “น้ำมันงาดำสกัดเย็น” มีอะไรบ้าง แล้วมันถูกต้องแค่ไหน เราจะมาลองวิเคราะห์กันดู
“น้ำมันงาดำสกัดเย็น” เป็นการนำ “งาดำ” น้ำมันงาดำสกัดเย็น มาผ่านกระบวนการสกัดโดยการใช้ “งาดำ” จำนวนมากมาบีบอัดจนได้น้ำมันภายใน “งาดำ” ออกมา ซึ่งกระบวนการนี้จะได้รับน้ำมันงาน้อยกว่าการใช้วิธีการสกัดร้อน แต่จะให้สารอาหารได้ดีกว่าวิธีการสกัดร้อน เพราะไม่ผ่านความร้อนที่เป็นตัวทำลายสารอาหาร จึงทำให้การทำ “น้ำมันงาดำสกัดเย็น” นั้นสามารถเก็บสารอาหารของน้ำมันได้มากกว่าวิธีการสกัดร้อนนั้นเอง ซึ่งสารอาหารสำคัญที่เราจะได้รับจาก “น้ำมันงาดำสกัดเย็น” ก็มีมากมาย เช่น วิตามินบี 1, 2, 3, 5, 6 , 9 แคลเซียม แมกนีเซียม โอเมก้า 3-6-9 ธาตุอาหารสำคัญๆอีกหลายชนิด แต่หนึ่งในสารอาหารหลักที่เราจะได้รับจาก “น้ำมันงาดำสกัดเย็น” ก็คือ สารเซซามิน นั้นเอง ซึ่งใครหลายคนที่เลือกรับประทาน “น้ำมันงาดำสกัดเย็น” นั้นก็เพราะเหตุผลของคุณประโยชน์ของ สารเซซามิน นั้นเอง
/ๅ ขอบคุณรูปภาพจาก google.com เซซามิน หรือ Sesamin เป็นสารอาหารสำคัญที่จะพบได้ใน “งาดำ” มีงานวิจัยหลากหลายออกมาบอกว่า เซซามิน ที่พบได้ใน “งาดำ” นั้นสามารถช่วยในเรื่องของการยับยั้งการเจริญเติบโต และการลามของเชื้อมะเร็งได้ ซึ่งในบางงานวิจัยออกมาบอกได้ถึงว่าสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย นอกจากนี้สารเซซามิน ยังสามารถช่วยในเรื่องของการกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน และมีช่วยช่วยในการลดคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย และนอกจากนี้นั้นยังมีส่วนช่วยในเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งหมดนี้ จึงทำให้ เซซามิน เป็นที่โด่งดัง และมักจะถูกนำมาใช้ในการโฆษณา “น้ำมันงาดำสกัดเย็น” อยู่บ่อยครั้ง
สำหรับความน่าเชื่อถือของ “น้ำมันงาดำสกัดเย็น” นั้น ในตอนนี้มีงานวิจัยออกมามากมายว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์เป็นอย่างมากต่อร่างกาย แต่ในทางกลับกัน สารอาหารเหล่านี้นั้นก็สามารถพบได้ถ้าหากเรามีการรับประทานอาหารครบทั้ง 5หมู่ และมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนเพียงพอ ซึ่งถ้าหากเรามีการปฏิบัติหรือการดูแลตัวเองอย่างดีแล้ว “น้ำมันงาดำสกัดเย็น” อาจจะยังไม่จำเป็นสำหรับเราก็เป็นได้
ซึ่งในการโฆษณาใหญ่ที่มักจะได้ยินในหลายผลิตภัณฑ์นั้นก็คือ การชูเรื่องของการที่ช่วยลดอาการปวดเข่า การลดอาการปวดขา ปวดกระดูก และมีการอ้างอิงเรื่องของคอลลาเจน ซึ่งในส่วนนี้นั้น ยังไม่มีงานวิจัยตัวไหนออกมายืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เนื่องจากคอลลาเจนที่จะได้รับจาก “งาดำ” นั้นเป็นคอลลาเจนที่ช่วยได้แค่เพียงชั้นผิวหนังเราเท่านั้น